ราคาบ้านมือสองอาจมีราคาสูงจากการตกแต่งบ้านให้พร้อมเข้าอยู่ หรือทำเลดี และเนื่องจากการกู้ซื้อบ้านมือสองโดยทั่วไปธนาคารจะให้วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย เท่ากับว่าผู้ซื้อจะต้องเตรียมเงินก้อนไปจ่ายให้กับผู้ขายในวันโอนบ้านอยู่ที่ประมาณ 20% ของราคาซื้อขาย ซึ่งต่างจากการซื้อบ้านมือหนึ่งกับโครงการที่สามารถผ่อนดาวน์ไปได้เรื่อยๆ ก่อนการยื่นกู้จริง ข้อตกลงของการซื้อขายบ้านมือสอง ก่อนซื้อบ้านมือสองควรตรวจสอบถึงสัญญา ข้อตกลงต่างๆของการซื้อขายให้ชัดเจนก่อนว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีซื้อบ้านมือสอง ควรมีการคุยกันถึงข้อตกลงส่วนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย หรือก่อนวันมาโอน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่เข้าใจกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อและผู้ขายออกกันคนละครึ่งหรือตามข้อตกลง หากเป็นการโอนที่มีทางเจ้าหน้าที่จากสถาบันการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่ทางแบงค์จะเข้ามาช่วยดำเนินการยอดที่ต้องชำระในส่วนนี้ แต่ถ้าเป็นการโอนกันเอง ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องทำการตกลงกันเอง ซึ่งการกำหนดราคาซื้อขายนั้นเป็นสิทธิ์ของผู้ซื้อและผู้ขายว่าจะแจ้งเท่าไหร่ โดยทางเจ้าหน้าที่จะเอาราคาตัวที่สูงกว่าเป็นหลัก ส่วนใหญ่แล้วค่าภาษีเงินได้ผู้ขายจะเป็นผู้ออกเงิน เนื่องจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นก่อให้เกิดเป็นรายได้ของผู้ขาย จึงต้องนำมาคำนวณหาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่ายดังนั้นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ผู้ขายจึงต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเองทั้งหมด ซึ่งจะพิจารณาการตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรจากยอดราคาประเมินหรือราคาขาย ค่าอากรแสตมป์เป็นส่วนรับผิดชอบของผู้ขายที่ต้องเสียในขั้นตอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยพิจารณาจากราคาประเมินและราคาซื้อขายซึ่งจะเลือกใช้ราคาที่สูงกว่า มาคำนวณในอัตราร้อยละ 0.5เท่ากับว่าผู้ขายจะเสียค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ทุกๆ 200 บาทแต่จะได้รับยกเว้นการชำระค่าอากร ต่อเมื่อต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3%เนื่องจากโดยปกติแล้ว เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจะเรียกเก็บเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น